Chat Box


Get your own Chat Box! Go Large!

save รูปในBlog นี้อย่างไรให้ได้ภาพใหญ่

เพื่อนๆหลายคนที่เข้ามาเยี่ยมชม Blog นี้มดเชื่ออย่างแน่นอนเลยคะว่าหลายคนก็อยากจะได้ภาพของยงจุนที่มดนำมาลงไปเก็บไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของแต่ละคนแต่ก็คงจะมีเพื่อนๆบางคนได้ลอง save ภาพเก็บกันแล้ว ก็อาจจะบอกว่า ทำไมได้ภาพเล็กแบบนี้หล่ะ

การ save ที่ถูกวิธีนั้น เพื่อนๆจะต้องเอาเม้าท์ไปคลิก(ซ้าย)ที่รูปภาพก่อนนะคะ จากนั้นเว็บก็จะทำการLink ไปยังหน้าที่มดได้ฝากไฟล์รูปภาพ จากนั้นเพื่อนๆก็จะเห็นรูปที่มีขนาดใหญ่ปรากฎ จากนั้นค่อยนำเม้าท์มาชี้ที่รูปภาพแล้วคลิกขวาทำการ Save picture As เป็นอันจบขั้นตอน แล้วทุกคนก็จะได้ภาพขนาดใหญ่กลับไป
ต่อไปนี้ก็คงจะได้ทราบวิธีการ Save ภาพที่ถูกต้องกันแล้วนะคะ ขอให้มีความสุขกับการเก็บภาพและรอยยิ้มที่น่ารักของ Bae Yong Joonกันนะคะ
Save คลิปวีดโอในบล๊อกนี้อย่างไร

นำเม้าส์ชี้ที่คำว่าDownload Hereแคลิกขวาเลือกคำสั่ง Save Target As จากนั้นเลือกโฟเดอร์ที่เราจะทำการบันทึกไฟล์ กด Save อักครั้งเป็นอนจบขั้นตอนคะ

5.7.08

[Trans] joseijishin 24.6.08 / AERA 1.7.08 P.2

translated into english: a sweet sister / bb's blog Yonsama, “The Dream 80 Minute Interview”! Click Link to read News version translated into english ********************************************* Translate English to Thai by Aun 80 นาทีในฝันกับการสัมภาษณ์ยอนซามะนักข่าวของนิตยสารเล่มนี้ได้มีโอกาสสัมภาษณ์เบยองจุน หลังจากที่สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้ว หนุ่มยอนซามะเข้ามาในห้อง เขามองไปที่นักข่าวอย่างเป็นมิตรและนั่งลงบนเก้าอี้หนังอย่างเงียบๆ เพื่อที่จะปรับตัวแล้วเริ่มให้สัมภาษณ์ เขาถอนหายใจยาว ในวันที่ 5 มิ.ย. มีนักข่าวถึง 6 คนที่คอยตั้งคำถามในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย อะไรที่ถัมต๊อกและยอนซามะมีความคล้ายคลึงกัน และเมื่อได้แสดงเป็นถัมต๊อกแล้ว คุณได้เรียนรู้อะไรบ้างที่สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ “อย่างแรกเลย สิ่งที่คล้ายคลึงกันระหว่างผมและถัมต๊อกคือความรับผิดชอบครับ ถัมต๊อกเป็นตัวละครที่มีตัวตนในประวัติศาสตร์จริงๆและผมรู้สึกว่า ผมคงเทียบกับเขาไม่ได้ ถัมต๊อกคิดถึงประเทศชาติ ประชาชนของเขาและเรื่องของส่วนรวมเป็นสำคัญ ตอนที่ผมแสดงเป็นเขา ผมอยากจะรู้สึกถึงความรับผิดชอบนั้นและมีแรงจูงใจให้กับประชาชนในแบบเดียวกับเขาไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยสักแค่ไหน แล้วผมก็รู้สึกตัวว่า ผมต้องคิดถึงและฟังความคิดเห็นของคนอื่นๆมากกว่านี้” เสียงที่ทุ้มต่ำและนุ่มนวลของยอนซามะ ให้ความรู้สึกเหมือนฟังเสียงเพลงคลาสสิคที่บรรเลงเบาๆทีเดียว อะไรคือจุดเปลี่ยนในชีวิตของคุณ “ผมใช้ชีวิตด้วยความเชื่อที่ว่า ในทุกช่วงเวลาที่ผมต้องเผชิญหน้าคือ จุดเปลี่ยนของผม ครับ นี่เป็นปีที่ 14 แล้ว สำหรับชีวิตนักแสดงของผมและแม้แต่ในตอนนี้ ทุกช่วงเวลาที่ผมเจอก็มักจะให้ความรู้สึกใหม่ๆ เหมือนตอนที่ผมเพิ่งเริ่มเดินบนเส้นทางนี้เสมอ แต่ถ้าจะให้ผมระบุว่า ชีวิตผมเปลี่ยนไปยังไง ผมเองก็จำปีที่แน่นอนไม่ได้ แต่ในปี 1998 หรือ 1999 เมื่อผมร่วมแสดงในละคร HWRL (Have we really loved?) ตอนนี้สถานีทุกช่องในเกาหลีมักจะมีเรตติ้งคนดูที่สูง เมื่อผมออกโทรทัศน์ แต่ในตอนนั้น HWRL มีเรตติ้งที่ต่ำและนั่นก็ทำเอาผมเสียความมั่นใจไปเลยทีเดียว ในช่วงที่ถ่ายทำละครเรื่องนั้น พวกเราต้องถ่ายทำกันที่เขตนอกเมืองโซล เมื่อมีกลุ่มเด็กๆที่อยู่ไกลออกไปเริ่มสร้างเรื่องยุ่ง ผมคิดว่าพวกเขาอาจจะวิ่งเข้ามาหาผม เพราะผมเหนื่อยมาก ผมก็เลยอยากจะอยู่ห่างๆเด็กไว้ ผมไม่รู้ว่า ความรู้สึกของผมแสดงออกไปด้วยภาษากายรึเปล่า เพราะเด็กพวกนั้นก็ไม่ได้เข้ามาใกล้ผมเลย ตอนหลังผมจึงรู้ว่า ในตอนนั้นเด็กๆเหล่านั้นไม่เห็นผมหรอก ถ้ามองจากที่ๆพวกเขาเอยู่ แต่สิ่งนี้ก็ทำให้ผมรู้ตัว แม้ว่าผมจะไม่ได้ตั้งใจหลีกเลี่ยงเด็กๆเหล่านั้น แต่สุดท้ายผมก็ทำอะไรแบบนั้นลงไป มันแปลกทีเดียวครับ ผมคิดว่า ผมคงหลงตัวเองและก็กังวลมากไป เหตุการณ์ตอนนั้นก็เลยทำให้ผมคิดได้ว่า นักแสดงควรจะมีสมาธิกับการแสดงมากกว่าการกังวลว่าจะได้รับความนิยมมากแค่ไหน” ยอนซามะพูดออกมาจากใจ (ผมไม่สามารถนั่งและฟังเฉยๆได้แล้ว ในที่สุดนิตยสารเล่มนี้ก็ได้ตั้งคำถาม)“โจเซย์ จิชิน เป็นนิตยสารรายสัปดาห์ที่มีครอบครัวในประเทศญี่ปุ่นอ่านก็อย่างกว้างขวาง”“ผมคุ้นเคยกับมันดีครับ” ยอนซามะตอบ เขาถือนิตยสารเล่มนั้น ซึ่งเป็นฉบับของวันที่ 24 มิ.ย. เขาพลิกหน้าในนิตยสารนั้นและยิ้มให้กับผู้สื่อข่าว“นี่เป็นนิตยสารที่รายงานข่าวเกี่ยวกับนักแสดงอันดับหนึ่ง เบยองจุน ครับ”“ขอบคุณมากครับ” ยอนซามะพูดพลางยิ้มให้ นักข่าวถามยอนซามะ ผู้ซึ่งกล่าวขอบคุณครอบครัวของเขาเสมอๆ ว่าเขาแสดงความขอบคุณพ่อแม่ของเขาอย่างไร มี 2 สิ่งที่เขาได้รับการสนับสนุนจากพ่อแม่“พ่อแม่ของผมไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายในงานของผมเลยครับ แต่พวกเขาได้สอน 2 สิ่งให้กับผม ตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก หนึ่งคือ “ซื่อสัตย์ จริงใจและไม่พูดโกหก” พวกเขาบอกผมซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้เสมอ อีกสิ่งหนึ่งก็คือ อย่าทำให้คนที่อยู่รอบข้างรู้สึกอึดอัด มีคนในครอบครัวของนักแสดงคนอื่นๆ ที่มักจะตื่นเต้นและเชียร์พวกเขาอย่างชัดเจน แต่พ่อแม่ของผมเป็นประเภทที่คอยดูผมแบบเงียบๆ และนั่นก็เป็นเหตุผลว่า ทำไมพวกเขาถึงไม่เคยบอกเลยว่า พวกเขาก็ได้ดูเรื่อง TWSSG พ่อแม่ของผมยังไปดูเรื่อง AS (April Snow) ในโรงหนังและไปงานคอนเสิร์ต AS ที่ถูกจัดขึ้นโดยที่ผมไม่รู้เลย “จริงๆแล้วพ่อแม่ของคุณมางานนี้ด้วยนะ” นี่เป็นสิ่งที่ผมมารู้ในตอนหลัง” แฟนๆชาวเอเชียของคุณควรรู้เกี่ยวกับพ่อแม่ของคุณ “เมื่อพ่อแม่ของผมปรากฏตัว แฟนๆที่รู้ว่าเป็นพวกเขาก็มีน้ำใจพอที่จะแกล้งทำเป็นไม่เห็นพวกเขา นั่นเป็นเหตุผลที่พ่อแม่ของผมรู้สึกว่า พวกเขาสามารถไปงานต่างๆได้อย่างสบายใจ เพราะพวกเขาไม่ได้เปิดเผยตัว ผมเชื่อว่า วิธีการที่ดีที่สุดในการแสดงความขอบคุณพ่อแม่ของผมคือ การแสดงให้พวกเขาเห็นว่า ผมใช้ชีวิตด้วยใจและวิญญาณ เป็นเหตุผลว่า ทำไมผมถึงแสดงความจริงใจ ความเชื่อมั่นทำงานอย่างตั้งใจและการเอาใจใส่คนอื่นก็เป็นวิธีที่จะตอบแทนความรู้สึกของพวกเขา ได้ดีกว่าของขวัญราคาแพงๆที่ผมจะมอบให้ อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญเช่นกันก็คื อแสดงให้พวกเขาเห็นว่าผมยังแข็งแรงดี สิ่งที่ผมเสียใจเมื่อได้รับบาดเจ็บก็คือ ผมไม่อยากจะบอกพ่อแม่ของผม แต่พวกเขาก็รู้ข่าวจากสื่อต่างๆ หลังการถ่ายทำ เมื่อผมเข้ารับการรักษา ผมบอกพ่อแม่ของผมไปว่า “ผมไม่อยากให้พ่อกับแม่เชื่อข่าวที่ลงในหนังสือพิมพ์นะครับ สื่อต่างๆมักจะเขียนข่าวเกินจริงเสมอและผมเองก็ทำเกินไปหน่อยที่แกล้งทำเป็นว่าไม่เจ็บเท่าไหร่ (หัวเราะ) ผมเชื่อว่าการเป็นคนที่ซื่อสัตย์และรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเสมอ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแสดงความศรัทธาต่อคนในครอบครัว” นั่นเป็นคำถามสุดท้ายที่นิตยสารเล่มนี้ได้ถาม คำถามต่อไปเกี่ยวกับการแสดงของยอนซามะ “ผมแสดงมามากกว่า 10 ปีแล้วและแต่ละครั้ง ผมก็คิดถึงความยากในการแสดง ถ้าผมต้องให้คะแนนตัวเองหล่ะก็ ผมบอกตรงๆเลยว่า ทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลครับ” งานชิ้นต่อไปของคุณคืออะไร “ผมจะพากย์เสียงบทจุนซางในภาพยนตร์อนิเมชั่นของเรื่อง WS (Winter love song) ส่วนเรื่องละครก็มีการวางแผนไว้เช่นกัน เป็นเรื่องที่อิงกับการ์ตูนญี่ปุ่นครับ” ใช่เรื่อง “คามิ โนะ ชิซูคุ” รึเปล่า “คุณรู้ได้ยังไงครับ” ยอนซามะประหลาดใจทีเดียว หลังจากงานที่โอซาก้าและงานแถลงข่าว สื่อของเกาหลีก็ได้รายงานเกี่ยวกับโปรเจคล่าสุดของเขาว่า อาจจะเป็นเรื่อง “คามิ โนะ ชิซูคุ” สิ่งเป็นหนังสือการ์ตูนที่เกี่ยวกับไวน์“ผมเป็นคนเดียวที่ยังไม่รู้นะครับเนี่ย (หัวเราะ) ยังไม่มีการตัดสินใจอะไรเลยครับ ผมยังอ่านการ์ตูนเรื่องนั้นไม่จบเลยด้วย แต่ถ้าโปรเจคนี้ผ่านออกมาเป็นรูปเป็นร่างแล้วหล่ะก็ ผมคิดว่า ผมอาจจะแสดงเรื่องนี้ครับ” ในหนังสือการ์ตูนมีฉากบนเตียงรึเปล่า “อะไรนะครับ เมื่อเป็นละคร ผมไม่คิดว่า พวกเราจะแสดงฉากแบบนั้นนะครับ” ใน 1 สัปดาห์คุณดื่มไวน์กี่ขวด “ก่อนที่ผมจะบาดเจ็บ ผมดื่มวันละ 1-2 แก้วต่อวัน แต่ตอนนี้หัวเข่าผมยังไม่หายดี ผมเลยไม่ค่อยได้ดื่มครับ” คุณยังเปิดกิจการร้านอาหารอย่าง ร้าน Gosireh คุณว่า อะไรที่คุณสนุกกับมันมากกว่าระหว่างการแสดงกับธุรกิจร้านอาหาร “ผมไม่สามารถเปรียบเทียบมันได้หรอกครับ อย่างแรกเลย ผมเป็นนักแสดงและผมก็อยากทำให้อาหารเกาหลีเป็นที่รู้จักมากขึ้น เพราะฉะนั้นผมเลยบอกไม่ได้ครับว่า อย่างไหนที่ผมชอบมากกว่า ในญี่ปุ่น อาหารเกาหลีเป็นที่รู้จักโดยผ่านทางร้าน Gosireh และผมได้คุยกับพนักงานว่า บางทีเราอาจจะทำอย่างเดียวกันนี้ในเกาหลี ซึ่งจะทำให้วัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักในวงที่กว้างขึ้น แต่ตอนนี้ก็มีสินค้าญี่ปุ่นมากมายในเกาหลีและ มันก็เหมือนกับว่าจะมีร้านอาหารญี่ปุ่นมากกว่าร้านอาหารเกาหลีแล้วด้วย เมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อน นัตโตะ (ถั่วหมัก) ไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก แต่ตอนนี้หลายคนรู้ว่า มันเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ผมเลยอยากจะแนะนำสิ่งต่างๆ ถ้าผมสามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระหล่ะก็ ผมจะเที่ยวไปเรื่อยๆ เพื่อดูสิ่งต่างๆและผมอาจจะมีความคิดที่ว่า “สิ่งนี้น่าแนะนำนะ” แต่ผมก็รู้สึกเสียดายที่ผมไม่สามารถทำมันได้” คุณคิดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าต่อจากนี้ คุณจะยังเป็นนักแสดงอยู่รึเปล่า “การถ่ายทำอาจจะทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ผมไม่อาจคาดเดาได้ แต่เมื่อผมลองคิดดูแล้ว เราไม่มีทางรู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอีก 1 ชั่วโมงนับจากนี้ เหตุการณ์ในวันพรุ่งนี้ก็ดูเหมือนจะยิ่งยาก ในการคาดเดา ผมจินตนาการภาพในอีก 10 ปีข้างหน้าไม่ออกจริงๆครับ ความรู้สึกของผมตอนนี้ก็คือ ในอีก 10 ปีข้างหน้านี้ ผมจะทำมันให้ดีที่สุด แต่ผมก็ไม่คิดว่า สัญญาแบบนี้จะทำได้ง่ายๆ ผมอยากที่จะใช้ชีวิตทุกๆนาทีอย่างเต็มที่และทุกชั่วโมงด้วยความซื่อตรง ผมจะพยายามทำมันให้ได้ครับ” คำถามสุดท้ายเกี่ยวกับความประทับใจในงานที่โอซาก้าและอี ฟิลลิป “ผมควรจะโทรเรียกฟิลลิปมาไหมครับ” (หัวเราะ) เขาพูดติดตลก“ช่วงที่ดีที่สุดในงานคือตอนใกล้ๆจะจบครับ นั่งอยู่บนรถและเลื่อนไปๆรอบ ผมสามารถเห็นหน้าของคนดูใกล้ๆและสบตากัน เพียงแค่มองตา หัวใจเราก็สามารถสื่อสารกันได้แล้วครับ ผมอยากจะพูดว่า “วนอีกสักรอบดีไหมครับ” แต่ผมเห็นใจคนอื่นๆครับ ดังนั้นผมก็เลยไม่ได้พูดออกไป ผู้กำกับคิมและมุนโซริหัวเราะกันตลอดเลยครับ พวกเขาบอกว่า หน้าพวกเขาเป็นตะคริวกันเลยทีเดียว (หัวเราะ) ส่วนผมไม่เป็นอะไรครับ ผมชอบความรู้สึกในตอนนั้นหน่ะครับ ผมเองก็มีความคิดอื่นๆนะครับ ผมลองคิดดูว่า ถ้าเราทำรถให้เล็กลง เรคงสามารถเข้าใกล้คนดูได้มากกว่านี้ส่วนเรื่องฟิลลิป เพราะผมไม่มีน้องชาย เขาก็เลยเหมือนเป็นน้องของผมครับ มันอาจจะฟังดูแปลกๆที่พูดอย่างนี้กับผู้ชาย แต่เขาก็มีค่ากับผมนะ (หัวเราะ) พวกเราพักกันที่นาโกย่าและเขาก็มาโตเกียวกับผมด้วย จริงๆแล้วจูมูชิ (ปาร์ค ซุง วุน) ก็อยู่ที่โตเกียวด้วย ตอนนี้ผมนั่งให้สัมภาษณ์อยู่ที่นี่ ในขณะที่ 2 คนนั้นได้นอนอย่างเต็มอิ่ม กินอาหารอร่อยๆและมีความสุขกับการช้อปปิ้ง” (หัวเราะ) คุณให้รางวัลอะไรกับตัวเอง “ผมให้รางวัลกับตัวเองโดยการไปนิวยอร์คหลังจากการถ่ายทำเสร็จสิ้นลง ระหว่างการเดินทางมาในครั้งนี้ เมื่องานของผมเสร็จ ผมมีแผนที่จะอยู่ต่ออีกสัก 2-3 วัน ผมมีที่ๆอยากจะไปเที่ยวชม ผมคิดว่า มันเป็นรางวัลที่ผมให้กับตัวเองครับ”การสัมภาษณ์จบลง ยอนซามะลุกขึ้นและโค้งให้เล็กน้อย ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ติดกัน เขาหยุดเพื่อจะโค้งให้อีกครั้ง ด้วยความมีน้ำใจและอบอุ่นของยอนซามะ และเมื่อได้เห็นเขาแล้ว ช่างเป็นเวลา 80 นาทีที่น่าหลงใหลทีเดียว

[SCAN]용준님 AERA 2008.7.7 - Big size 1점

Source : daum/byjgallery
Post by : vento/ Thank you