Chat Box


Get your own Chat Box! Go Large!

save รูปในBlog นี้อย่างไรให้ได้ภาพใหญ่

เพื่อนๆหลายคนที่เข้ามาเยี่ยมชม Blog นี้มดเชื่ออย่างแน่นอนเลยคะว่าหลายคนก็อยากจะได้ภาพของยงจุนที่มดนำมาลงไปเก็บไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของแต่ละคนแต่ก็คงจะมีเพื่อนๆบางคนได้ลอง save ภาพเก็บกันแล้ว ก็อาจจะบอกว่า ทำไมได้ภาพเล็กแบบนี้หล่ะ

การ save ที่ถูกวิธีนั้น เพื่อนๆจะต้องเอาเม้าท์ไปคลิก(ซ้าย)ที่รูปภาพก่อนนะคะ จากนั้นเว็บก็จะทำการLink ไปยังหน้าที่มดได้ฝากไฟล์รูปภาพ จากนั้นเพื่อนๆก็จะเห็นรูปที่มีขนาดใหญ่ปรากฎ จากนั้นค่อยนำเม้าท์มาชี้ที่รูปภาพแล้วคลิกขวาทำการ Save picture As เป็นอันจบขั้นตอน แล้วทุกคนก็จะได้ภาพขนาดใหญ่กลับไป
ต่อไปนี้ก็คงจะได้ทราบวิธีการ Save ภาพที่ถูกต้องกันแล้วนะคะ ขอให้มีความสุขกับการเก็บภาพและรอยยิ้มที่น่ารักของ Bae Yong Joonกันนะคะ
Save คลิปวีดโอในบล๊อกนี้อย่างไร

นำเม้าส์ชี้ที่คำว่าDownload Hereแคลิกขวาเลือกคำสั่ง Save Target As จากนั้นเลือกโฟเดอร์ที่เราจะทำการบันทึกไฟล์ กด Save อักครั้งเป็นอนจบขั้นตอนคะ

10.7.08

[Trans by Cloud Nine] AERA part 1: the evolution

Source : BYJ'sQuilt
Post by : happiebb/Thank you for sharing to us
translated into english: a sweet sister / bb's blog
Click Link to read News version translated into english
***************************************************************
Translate English to Thai by angelliz
original in japanese: AERA 2008/06/30
scanned & posted by: miemi / byjgallery
Translated into english: cloudnine / bb's blog
bb: บทความนี้มีประมาณ 8 หน้า บางส่วนนั้นจะเกี่ยวกับละคร และในบางส่วนจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วๆไปที่แฟนๆรู้กันอยู่แล้ว Cloudnine ได้คัดเลือกคำถามและคำตอบของบางส่วนมาแปลให้พวกเราได้รับรู้กัน และฉันชื่นชอบบทความนี้มาก เพราะฉะนั้นพวกคุณห้ามพลาดนะ! และนี่เป็นแค่ตอนที่ 1 เท่านั้น อาทิตย์หน้าจะเป็นของตอนที่ 2 ซึ่งเกี่ยวกับความคิดของเบยองจุรวมถึงเรื่องราวความรักและชีวิตของเค้าด้วย
พัฒนาการของเบยองจุน

เจาะลึกสิ่งที่เค้าบอกกับ AERA ตอนที่1

หลังจากที่เค้ามาญี่ปุ่นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เบยองจุน คนที่ฉันได้พบเมื่อนานมาแล้ว บางสิ่งบางอย่างในตัวเค้าได้เปลี่ยนไป จากความสำเร็จของละครเรื่อง TWSSG เค้าได้เปลี่ยนแปลงไป เราจะถ่ายทอดตัวตนที่แท้จริงของเค้าในตอนพิเศษ 2 สัปดาห์

อาทิตย์นี้เรื่องราวความคิดเกี่ยวกับงานของเค้า ผู้สัมภาษณ์: Rumi Hayashi

Rumi : คุณสบายดีแล้วใช่มั๊ยคะตอนนี้?

เบยองจุน : (ตอบเป็นภาษาญี่ปุ่น) ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ถ้าถามเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บที่ผ่านๆมาของผม ผมคงจะถามกลับว่า ครั้งไหนล่ะครับ ตอนที่ผมบาดเจ็บครั้งแรกนั้น อาการก็คือผมไม่สามารถขยับร่างกายได้ แต่ว่าอาการบาดเจ็บครั้งสุดท้ายนี่ละครับที่ทำให้ผมเป็นกังวลมากจริงๆ เพราะว่าผมทราบดีว่าผมต้องอดทนจนถึงตอนสุดท้าย เพื่อให้การถ่ายทำสำเร็จ ผมทำให้ทีมงานมีปัญหาและก็ยังทำให้ครอบครัวของผมเป็นห่วงผมด้วย ผมรู้สึกเสียใจมากครับ และรู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ แต่เพราะว่าช่วงเวลาที่ยากและเพราะความเจ็บปวดนั่นแหละครับ ที่ทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น

Rumi : มันเป็นช่วงเวลา 3 ปี ที่ยาวนานมาก ใช่มั๊ยคะ?

เบยองจุน : สถานที่ที่ใช้ถ่ายทำส่วนใหญ่จะอยู่บนเกาะเชจู ซึ่งที่นั่นอากาศดีและสวยมากครับ ดังนั้นช่วงแรกๆของการถ่ายทำผมเลยรู้สึกเหมือนกับว่าผมได้ไปพักร้อนมากกว่า (หัวเราะ) จริงๆนะครับที่พวกเราใช้เวลารอบทมากกว่าเวลาที่ถ่ายทำซะอีก พวกเราไปถ่ายทำกันหลายๆสถานที่ ซึ่งบางที่ผมยังไม่เคยมีโอกาสได้ไปด้วยครับ มันดีมากจริงๆ ที่ เราได้ไปสถานที่ใหม่ๆ ที่ที่มีอาหารพื้นเมืองใหม่ๆ และที่ซึ่งมีลักษณะต่างๆกันออกไป จริงๆแล้ว ในขณะที่การถ่ายทำได้ยืดเยื้อออกไป ก็มีช่วงเวลาที่ผมเสียสมาธิไปเหมือนกัน เรื่องนี้เป็นละครฟอร์มยักษ์ และผมยังต้องรับบทที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย ดังนั้นผมจึงต้องมีสมาธิอย่างมาก

Rumi : จุดเด่นของละครเรื่องนี้คือการแสดงของเบยองจุน

เบยองจุน : ขอบคุณมากครับ (เบยองจุนตอบด้วยเสียงเบาๆท่าทางเขินๆ)

Rumi : บทบาทของกษัตริย์นั้นคุณแสดงออกมาได้ดีมากๆ คุณคิดถึงอะไรในขณะนั้นคะ?

เบยองจุน : จริงๆแล้วผมไม่ได้เตรียมอะไรเลยครับ อย่างที่คุณเห็นว่าตอนถัมด๊อกเป็นวัยรุ่นนั้น เค้าเป็นพวกที่มีชีวิตที่สนุกสนานรวมถึงเป็นนักดื่มอีกด้วย ถัมด๊อกนั้นผ่านความเจ็บปวด เค้าเติบโตและเปลี่ยนแปลงผ่านทางละคร ตอนนี้ผมเลยรู้สึกว่าผมก็เติบโตและเปลี่ยนแปลงไปด้วยเหมือนกัน เพราะว่าผมได้อยู่กับบทบาทนี้ ในช่วงเวลา 2 ปีดีๆที่ผ่านมาครับ ผมไม่พยายามที่จะสร้างพลังหรือลักษณะเด่นขึ้นมาในการแสดงของผม แต่ในขณะที่เวลาค่อยๆผ่านไป ความรู้สึกเหล่านั้นจะค่อยๆเข้ามาให้หัวผมเอง

พูดได้ว่า ในบางครั้งผมพบว่าแววตาที่ถ่ายทอดออกมาของผมเปลี่ยนแปลงไป เมื่อผมมานั่งดูฉากต่างๆย้อนหลัง อย่างเช่นฉากที่ผมต้องโกรธหรือว่าเป็นฉากที่ผมต้องต่อสู้ หลายๆครั้งที่มันทำให้ผมประหลาดใจและต้องคิดว่า “แววตาของผมเป็นอย่างนั้นจริงๆหรอ” ผมยังสงสัยเลยว่าทำไมแววตาของผมถึงแสดงออกมาได้ขนาดนั้น

Rumi : ฉันทราบมาว่าต้นฉบับของบทของคุณนั้นขาดไปเลย

เบยองจุน : ใช่ครับ แต่ว่ามันมีเหตุผลนะครับ มีคนประมาณ 100 คนในสถานที่ที่เราใช้ถ่ายทำกัน แต่ว่ามีคนประมาณแค่ 20 คนเท่านั้นที่ถือบทอยู่ แล้ววันนึงผมก็พบว่าทั้ง 20 คนนั้น บทที่แต่ละคนมีอยู่นั้นแตกต่างกันหมดเลย มันเป็นเพราะว่าบทเนี่ยจะถูกเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ และเพราะว่าบทมันถูกเขียนบ่อยๆนี่แหล่ะครับ อันไหนละที่เป็นเวอร์ชั่นสุดท้าย

ผมก็เลยเขียนบนปกของบทผมว่า “เวอร์ชั่นสุดท้าย” แต่แล้วบทก็ถูกแก้ไขอีก คราวนี้ผมเขียนว่า “เวอร์ชั่นสุดท้ายจริงๆ” แต่ก็อีกน่ะครับที่บทถูกแก้ไขอีก ผมเลยเขียนลงไปว่า “เวอร์ชั่นสุดท้ายจริงๆแล้วนะ” นั่นแหล่ะครับที่ทำให้ต้นฉบับของบทของผมขาด (หัวเราะ)

Rumi : สิ่งที่ยากลำบากทั้งหมด อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดคะ?

เบยองจุน : ที่ยากที่สุดหรอครับ อืม...มีไม่น้อยเลยครับ (หัวเราะ) การได้รับบทของบุคคลที่เคยปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์เป็นความกดดันที่ยิ่งใหญ่จริงๆครับ ส่วนความกดดันอีกอย่างคือพวกเราควรที่จะทำให้ละครออกมาดีที่สุดในเมื่อผู้คนในเอเชียจับตามองพวกเราอยู่ มากกว่านั้นก็คือ เรามีฉากต่อสู้ที่เยอะมาก ซึ่งผมไม่เคยผ่านฉากเหล่านี้มาก่อนเลย แน่นอนที่ผมต้องเตรียมตัวเข้าฉากเหล่านั้นเป็นอย่างดี แต่ว่าพอเริ่มถ่ายทำกันจริงๆมันยากกว่าที่ผมคิดไว้มากเลยครับ ดังนั้น สิ่งที่ยากที่สุดจึงมีเยอะมากครับ (หัวเราะ)

ผมเจอกับปัญหาที่ยากลำบาก และผมก็คิดว่า ผู้กำกับคิมก็เจอเหมือนกันครับ

Rumi : ฉันนึกภาพออกได้เลยว่าคุณกดดันมากขนาดไหน แล้วคุณรับมือกับความกดดันเหล่านั้นได้อย่างไรคะ?

เบยองจุน : สิ่งที่กดดัน ก็คือ ผมจะต้อง ทำในสิ่งที่ผมทำไม่ได้ (หัวเราะ) มันไม่ใช่ ว่า ควรจะทำอย่างไร แต่มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องทำ ไม่ว่าเราจะเสียอะไรไปก็ตาม มันเป็นสิ่งที่ควรจะทำ ผมไม่มีทางเลือก ผมไม่มีสิทธิ์ ที่จะพูดว่า "ไม่ ผมทำไม่ได้ ผมเหนื่อยมากแล้ว" นอกซะจากคำว่า " ผมจะพยายามทำให้ได้ครับ "

Rumi : คุณเคยคิดที่จะยอมแพ้หรือว่าพูดว่า ผมไม่เอาแล้วมั๊ยคะ?

เบยองจุน : จริงๆแล้ว ก็มีช่วงเวลาที่ผมคิดแบบนั้นนะครับ แต่ว่าผมไม่เคยคิดถึงมันเกิน 0.1 วินาทีเลย มันเหมือนกับว่าอยู่ดีๆมันก็แว๊บเข้ามาให้หัวผมแค่แปปเดียวแล้วมันก็หายไป

Rumi : ในความยากลำบากที่ผ่านมา คุณต้องการที่จะถ่ายทอดอะไรมากที่สุดคะ?

เบยองจุน : นี่คือสิ่งที่ผมมักจะพูดบ่อยๆครับ คำพูดที่ผมชอบมากที่สุดคือตอนที่ถัมด๊อกพูดกับทหารของเค้าก่อนที่จะออกไปทำการต่อสู้ “จงมีชีวิตอยู่ เราไม่ต้องการนักรบที่ไม่รู้จักเสียดายชีวิต ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ต้องมีชีวิตรอดมายืนข้างๆเรา นี่คือคำบัญชาของเรา ราชาของท่าน

(cloud nine: บทพูดนี้ ฉันคัดลอกมาจาก บทแปลของ bb)

เบยองจุน : ไม่ว่าจะในสมัยไหน กษัตริย์มักจะพูดว่า “ จงสู้ด้วยกำลังทั้งหมด “ แต่ถัมด๊อกกลับพูดว่า “จงมีชีวิตรอด”

Rumi : เราสามารถพูดได้มั๊ยว่า นี่คือคำพูดที่สื่อไปถึงสังคมในปัจจุบันนี้?

เบยองจุน : ใช่แล้วครับ ในฉากสุดท้าย จะมีคำพูดประมาณว่า “มนุษย์สามารถทำผิดพลาดได้ เราต้องการที่จะบอกสิ่งนี้กับสวรรค์ ว่านี่แหล่ะคือสิ่งที่มนุษย์เป็น มนุษย์แก้ไขความผิดพลาดและเรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านั้น” ผมชอบประโยคนี้มากครับ นอกจากนั้นยังมีประโยคที่ว่า “เราเชื่อว่าสิ่งที่เราไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ ลูกหลานของเราจะสามารถทำให้สำเร็จได้ในวันข้างหน้า”

Rumi : (ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ฉันมีโอกาสได้สัมภาษณ์ยองจุนทั้งหมด 6 ครั้ง และฉันก็ประทับใจในการแสดงความจริงใจของเค้าอยู่เสมอ เค้าบอกเราในสิ่งที่เค้าคิดอยู่อย่างจริงใจ โดยเฉพาะในวันนี้ เค้าแสดงความคิดของเค้าได้อย่างเปิดเผยมากกว่าครั้งก่อนๆ นี่อาจจะเป็นเพราะสิ่งที่เค้าได้เรียนรู้มาจากการแสดงละครในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา)

เบยองจุน : สิ่งที่ผมต้องการจะเน้นย้ำก็คือถัมด๊อกผู้ที่คู่ควรแก่ความรัก ผมต้องการที่จะแสดงความอบอุ่นของถัมด๊อกออกมามากกว่านั้นครับ ผมไม่แน่ใจว่าผมประสบความสำเร็จในการแสดงความรู้สึกนั้นออกมาหรือเปล่า (เค้าขมวดคิ้วนิดนึง) อย่างที่ผมได้บอกไปแล้วเมื่องานเปิดตัวเมื่อวันก่อน ถึงแม้ว่าถัมด๊อกจะมีอำนาจขนาดไหน

แต่เค้าก็ไม่เคยที่จะใช้อำนาจเหล่านั้นกับผู้คนของเค้า แต่เค้ากลับใช้เหตุผลแทน เค้าสามารถเป็นเพื่อนได้กับทุกๆคน ผมคิดว่าเค้าเป็นบุคคลที่เราต้องการอย่างมากในฐานะผู้นำครับ เพื่อให้สิ่งเหล่านี้ได้ถ่ายทอดออกไป ละครเรื่องนี้ควรที่จะได้รับความสำเร็จก่อนครับ การได้เห็นถัมด๊อก คนอาจจะคิดว่า “ถ้าเพียงแต่เรามีผู้นำลักษณะนี้นะ” ผู้มีอำนาจหรือว่าผู้นำทั่วๆไป เมื่อดูละครเรื่องนี้แล้ว อาจจะคิดว่า “นี่แหล่ะคือสิ่งที่ผู้นำควรจะเป็น”

Rumi : ภาพลักษณ์ถัมด๊อกของคุณนั้นแตกต่างจากภาพลักษณ์ที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์

เบยองจุน : ใช่ครับ ถัมด๊อกเป็นบุคคลที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์จริง ผู้คนมักจะติดภาพลักษณ์ของเค้ามาก่อนหน้าแล้ว ภาพลักษณ์ของการเป็น “ผู้ชนะ” ที่เข้มแข็งและจริงจัง แต่สิ่งที่ผมอยากจะแสดงให้เห็นคือสิ่งที่ต่างไปจากด้านนั้นของเค้าครับ

ในตอนแรกของละครนั้น ผมรับบทเป็น Fanun (โอรสของพระเจ้า) และนี่คือสิ่งที่เค้าพูดครับ 弘益人間 ซึ่งหมายความว่า เพื่อเป็นประโยชน์ทางสังคมและเพื่อเผยแพร่สู่สาธารณะชนได้อย่างกว้างขวาง

ผมว่านี่เป็นคำพูดที่แสดงให้เห็นถึงจิตใจของถัมด๊อกครับ สิ่งที่ผมกังวลมากที่สุดคือ ผมสามารถทำให้ผู้ชมเห็นสิ่งเหล่านั้นได้หรือเปล่า

Rumi : พวกเราไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าโกคุริวเป็นสถานที่ที่หลายชนชาติอาศัยอยู่

เบยองจุน : ใช่แล้วครับ เราทั้งหมดเป็นพี่น้องกัน ผมมักจะพูดว่า แทนที่เราจะมาขีดเส้นแบ่งแยกดินแดนกันในเอเชีย ระหว่าง เกาหลี ญี่ปุ่น และจีน เราควรที่จะคิดว่าเราเป็นพี่น้องกันมากกว่า ระหว่างที่ผมมาที่ญี่ปุ่นนั้น มักจะมีหัวข้อนี้ขึ้นมาเสมอๆ เมื่อเร็วๆนี้ผมถูกถามว่า คุณรู้สึกอย่างไรที่ได้เจอกับครอบครัวชาวญี่ปุ่น ผมตอบไปว่า “มันไม่มีความหมายเลยที่จะบอกว่าพวกเค้าเป็นครอบครัวชาวญี่ปุ่นหรือว่าครอบครัวชาวเกาหลี เพราะว่าสำหรับผมแล้ว พวกเค้าล้วนเป็นครอบครัวของผม

Rumi : ฉันจำได้ว่าเมื่อ 3 ปีก่อน ฉันบอกกับคุณว่า คุณนี่แหล่ะที่จะเป็นคนที่ทำให้เกิด “สังคมของชาวเอเชียตะวันออก” ก่อนที่ผู้นำคนอื่นจะทำได้ซะอีก

เบยองจุน : (พยักหน้า) ผมกำลังจะทำให้ถึงจุดนั้นครับ เมื่อตอนที่ผมอยุ่ที่นิวยอร์ค มีคนอเมริกันถามผม บางคนก็พูดกับผมว่า “คุณเป็นคนเกาหลีหรอ” แล้วบางคนก็พูดกับผมว่า “คุณเป็นคนญี่ปุ่นหรอ” จริงๆนะครับที่มีคนถามผมว่าผมเป็นคนญี่ปุ่นหรือเปล่า ดังนั้นผมเลยตอบไปว่าพวกเราเป็นพี่น้องกัน ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเลยครับ

Rumi : ในการแสดงละครเรื่อง TWSSG อะไรที่คุณเปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด

เมื่อผมมองกลับไปในบทบาทที่ผมได้รับ เรื่องราวส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บปวดในตัวบุคคล สำหรับคนที่อยู่กับความเจ็บปวดเหล่านั้น มันคงจะเป็นปัญหาที่หนักอึ้งและทำให้เศร้าใจอย่างมาก แต่ความว่าเจ็บปวดของถัมด๊อกนั้นแตกต่างออกไป เค้าไม่เพียงแต่ต้องคำนึงถึงประเทศของเค้าเท่านั้น แต่รวมถึงต้องคำนึงถึงบ้านพี่เมืองน้องและประชาชนของเค้าด้วย การที่ได้รับบทบาทของบุคคลที่ยิ่งใหญ่ผู้ที่ซึ่งมีความมุ่งมั่นอย่างใหญ่หลวง และในขณะเดียวกันก็ได้รับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดของเค้า ไม่ใช่เพียงแค่ 2-3 เดือนเท่านั้น แต่ว่ายาวนานถึง 2 ปี ผมคิดว่าผมได้รับประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่จริงๆครับ

ติดตามตอนที่ 2 ต่อในสัปดาห์หน้า

No comments: