Chat Box


Get your own Chat Box! Go Large!

save รูปในBlog นี้อย่างไรให้ได้ภาพใหญ่

เพื่อนๆหลายคนที่เข้ามาเยี่ยมชม Blog นี้มดเชื่ออย่างแน่นอนเลยคะว่าหลายคนก็อยากจะได้ภาพของยงจุนที่มดนำมาลงไปเก็บไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของแต่ละคนแต่ก็คงจะมีเพื่อนๆบางคนได้ลอง save ภาพเก็บกันแล้ว ก็อาจจะบอกว่า ทำไมได้ภาพเล็กแบบนี้หล่ะ

การ save ที่ถูกวิธีนั้น เพื่อนๆจะต้องเอาเม้าท์ไปคลิก(ซ้าย)ที่รูปภาพก่อนนะคะ จากนั้นเว็บก็จะทำการLink ไปยังหน้าที่มดได้ฝากไฟล์รูปภาพ จากนั้นเพื่อนๆก็จะเห็นรูปที่มีขนาดใหญ่ปรากฎ จากนั้นค่อยนำเม้าท์มาชี้ที่รูปภาพแล้วคลิกขวาทำการ Save picture As เป็นอันจบขั้นตอน แล้วทุกคนก็จะได้ภาพขนาดใหญ่กลับไป
ต่อไปนี้ก็คงจะได้ทราบวิธีการ Save ภาพที่ถูกต้องกันแล้วนะคะ ขอให้มีความสุขกับการเก็บภาพและรอยยิ้มที่น่ารักของ Bae Yong Joonกันนะคะ
Save คลิปวีดโอในบล๊อกนี้อย่างไร

นำเม้าส์ชี้ที่คำว่าDownload Hereแคลิกขวาเลือกคำสั่ง Save Target As จากนั้นเลือกโฟเดอร์ที่เราจะทำการบันทึกไฟล์ กด Save อักครั้งเป็นอนจบขั้นตอนคะ

17.7.08

[Trans] AERA part 2: on love & life (1/2)

Source : BYJ'sQuilt Post by : happiebb/Thank you
translated into english: cloudnine / bb's blog
Click Link to read News version translated into english

***************************************************************

Translate English to Thai by angelliz

original in japanese: AERA 2008/06/30 scanned & posted by: miemi / byjgallery Translated into english: cloudnine / bb's blog

bb: ยังจำบทสัมภาษณ์ของ AERA เมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้มั๊ย ที่ฉันบอกไปว่านั่นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของตอนแรกเท่านั้น ในส่วนของตอนที่ที่สองนั้นน่าสนใจทีเดียว เค้า (เบยองจุน) จะทำให้เราได้สัมผัสกับความรักและชีวิตของเค้า

เบยองจุน (ผมต้องการแสดงความรักด้วยคำพูด)

สิ่งที่เค้าบอกกับ AERA ตอนที่ 2 ที่นี่ที่เดียว

AERA - ในขณะที่การสัมภาษณ์ผ่านไปเรื่อยๆ เค้าดูเหมือนผ่อนคลายมากขึ้นในการพูดถึงความรักและชีวิตของเค้า คำพูดของเค้าดูเปิดเผยมากยิ่งขึ้น ต่อจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราได้ถ่ายทอดความคิดอย่างเปิดเผยของเค้า และครั้งนี้อีกครั้งเช่นกัน

ระหว่างที่เค้าอยู่ที่ญี่ปุ่นนั้น เบยองจุนให้สัมภาษณ์กับสื่อเกาหลีว่า “ผมอยากจะแต่งงานภายใน 3 ปี” กลายเป็นประเด็นที่ทำมห้ผู้คนสนใจ ฉันคิดว่าเค้าพูดออกมาตามความคิดของเค้าถึงแม้ว่าตอนนี้เค้าจะยังไม่มีใครเลยก็ตาม

ละคร TWSSG นักแสดงเบยองจุน สิ่งที่เราให้ความสนใจก็คือการพัฒนาความรักของถัมด๊อก บทบาทซึ่งเบยองจุนได้รับ กับผู้หญิงที่มีลักษณะแตกต่างกัน สองพี่น้องคีฮาและซูจีนี ใครที่จะมาเป็นคู่รักของเค้า เบยองจุนเคยแสดงในละครที่มีเรื่องราวความรักแสนเศร้ามาบ้างแล้ว การแสดงของเค้าสามารถถ่ายทอดความเจ็บปวดในเรื่องความรักได้ และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้ผู้ชมให้ความสนใจ

การได้รับความรักจากผู้หญิง...

AERA : คีฮาโอบกอดความรักด้วยความอบอุ่น และซูจีนี ทอมบอยที่สดใสความรักแบบไหนที่คุณต้องการคะ?

เบยองจุน : ทั้งคีฮาและซูจีนี... ในละครนั้น ตอนแรกถัมด๊อกไม่รู้ว่าซูจีนีรักเค้าครับ เค้าไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่เค้ารู้สึกนั้นคือความรัก เพราะเค้าคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเค้ากับคีฮา คนที่เค้ารักมาตั้งแต่เด็กคือความรัก และเค้าเองก็ไม่สามารถลบความรู้สึกที่เค้ามีต่อเธอไปจากใจได้ การได้รับบทบาทเป็นถัมด๊อกนั้น อย่างไรก็ตาม ในตอนที่ซูจีนีเปิดเผยความรู้สึกของเธอออกมานั้น ผมรู้สึกข้องใจมากเลยครับ ทำไมเค้าถึงไม่เข้าใจความรู้สึกของซูจีนีนะ เค้าโง่จริงๆเลยครับ (หัวเราะ)แต่ผมก็ต้องแสดงไปตามบท ผมเลยบอกกับตัวเองว่าถัมด๊อกนั้นไม่สามารถลบความรู้สึกของเค้าที่มีต่อคีฮาออกไปได้ และในใจเค้าก็จะไม่มีที่ว่างให้ใครได้อีก ดังนั้นความคิดของผมระหว่างคีฮากับซูจีนี การได้รับความรักจากผู้หญิงคนไหนดีนั้น.. ผมรักทั้งสองคนเลยครับ ฮ่าฮ่าฮ่า

AERA : แต่ว่าถ้าทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน คุณจะต้องเจอปัญหาแน่ๆจริงมั๊ยคะ ?

เบยองจุน : คุณอยากให้ผมเลือกคนใดคนนึงให้ได้ใช่มั๊ยครับ (หัวเราะ)คือว่าผมไม่รู้จริงๆครับ ผมคิดว่าความรักของคนเราจะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์น่ะครับ และก็ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งแวดล้อมหรือว่าสถานการณ์ของอีกฝ่ายด้วย มากกว่านั้นคือมันจะต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของผมในขณะนั้นด้วยครับ ฮ่าฮ่าฮ่า

AERA - ถึงแม้เค้าจะถูกถามด้วยคำถามที่ยากสักแค่ไหน เค้าก็ยังคงยิ้มอย่างสดใสโดยไม่มีทีท่าอึดอัดใจเลย ฉันมีคำถามเกี่ยวกับความรักในละครเรื่องนี้อีก คีฮารักถัมด๊อก แต่ว่าเธอไม่สามารถที่จะบอกความรู้สึกของเธอออกมาได้ด้วยคำพูด และสิ่งนี้เองที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจและรอยร้าวระหว่างทั้งสองขึ้น ฉันอยากจะรู้ความคิดเห็นของเค้าในเรื่องนี้

AERA : คีฮาไม่สามารถบอกความรู้สึกของเธอได้ คุณคิดว่าความรักนั้นสามารถสื่อออกมาได้โดยไม่ต้องใช้คำพูดหรือเปล่าคะ ?

เบยองจุน : ผมไม่คิดอย่างนั้นครับ ความรักระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายทำไมเราจะต้องแสดงออกด้วยคำพูดน่ะหรอครับ เพราะว่าผมคิดว่าเราจะไม่สามารถเข้าใจความรักได้จนกว่าคุณจะพูดมันออกมาครับ ถ้าเกิดว่าเป็นความรักระหว่างพ่อแม่กับลูกหรือว่าพี่น้องนั้น เราไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงออกมาด้วยคำพูด ความรักนี้เป็นสิ่งไม่ต้องการอะไรตอบแทนซึ่งสามารถเข้าใจกันได้เพียงแค่มองตากันครับ

แต่เมื่อเป็นความรักระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงนั้นจะแตกต่างออกไป สำหรับคนที่ไม่เคยใช้ชีวิตด้วยกันเลยเป็นเวลาหลายสิบปีพบกันและตกหลุมรักกัน พวกเค้าจะเข้าใจกันได้อย่างไรครับถ้าไม่พูดกันออกมา ผมคิดว่าการที่เราพูดความรู้สึกของเราออกมานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก คำพูดที่ว่า “ผมต้องการจะพบคุณ” เมื่อคุณต้องการที่จะพบใครสักคน หรือการพูดว่า “ผมรักคุณ” เมื่อคุณรักใครสักคนเป็นสิ่งที่สำคัญมากครับ

AERA : เพราะฉะนั้น คุณเป็นคนที่จะพูดความรุ้สึกของคุณออกมาใช่มั๊ยคะ ?

เบยองจุน : (ตกใจเล็กน้อย) เอ่อ.. ผมหรอครับ (หน้าแดงนิดหน่อย) ผมก็คงเป็นแบบนั้นน่ะครับ ฮ่าฮ่าฮ่า

AERA - ถ้าพูดถึงเรื่องการกลับชาติมาเกิด รักสามเศร้าในละครได้เปลี่ยนแปลงพลิกผันไป สิ่งที่ถัมด๊อกทำในตอนจบก็เช่นกันที่ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ได้คาดหวังมาก่อน ดังนั้นในเกาหลี ประเด็นนี้ได้ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในอินเตอเน็ท

ถัมด๊อกมีชีวิตรอด

AERA : ในตอนสุดท้ายนั้น ถัมด๊อกเชื่อในพลังของมนุษย์มากกว่าลิขิตของสวรรค์ คุณคิดแบบนี้ด้วยหรือเปล่าคะ

เบยองจุน : มีความคิดหลากหลายมากครับเกี่ยวกับตอนจบ ในละครนั้นมีบางส่วนที่ชะตาชีวิตได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับยุคของโกคุเรียว ตัวละครในอดีตนั้นกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งในยุคถัดไป ฮวานอุง (โอรสของพระเจ้า) กลับมาเกิดใหม่โดยเป็นกษัตริย์กวางแทโกถ้าผมมีชะตากรรมและชีวิตแบบนั้น มันจะเป็นการจบที่ดีหรือไม่ ผมก็สงสัยเหมือนกันครับ ดังนั้นผู้กำกับคิมและผมได้พูดคุยกันเกี่ยวกับตอนจบหลายครั้งมาก พวกเราคิดกันว่าตอนจบนั้นควรจะเป็นอะไรที่เต็มไปด้วยความหวัง ผู้ชมอาจจะคาดหวังให้มีเรื่องราวหลังจากนั้น ถัมด๊อกแต่งงานกับซูจีนี มีลูกด้วยกัน และขยายอณาเขตออกไป อย่างไรก็ตามพวกเราต้องการให้ตอนจบนั้นเปิดกว้างและไม่ตายตัวครับ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถัมด๊อกนั้นมีชีวิตรอดหรือไม่ เราทำตอนจบออกมาได้ไม่ชัดเจนนักผมเองก็ไม่คิดว่าถัมด๊อกนั้นตายครับ ผมเชื่อว่าในตอนจบนั้นจิตวิญญานและพลังของเค้ายังคงอยู่ในสังคมปัจจุบันนี้

ผมเสียใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน เราควรที่จะทำผลงานออกมาให้สมบูรณ์มากกว่านี้ และเพราะว่าเวลาที่เวลาเร่งรัดเหลือเกิน ผมเสียใจที่เราไม่สามารถเสนอความคิดของเราออกมาผ่านทางละครได้อย่างครบถ้วนไม่ใช่แค่ผมเท่านั้น แต่ผู้กำกับคิม, ทีมงานรวมถึงนักแสดงคนอื่นๆก็รู้สึกเช่นเดียวกันดังนั้นความคิดที่จะมีภาคต่อจึงเกิดขึ้นครับ

AERA - ละครเรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซี เกี่ยวกับการยกย่องการตัดสินใจของมนุษย์เหนือชะตาชีวิต และนี่เป็นผลงานของผู้กำกับคิมและนักเขียนบท Song Jina ผู้ที่ทำให้สังคมตระหนักถึงความเป็นจริงผ่านทางละคร อย่างไรก็ตาม สำหรับผลงานชิ้นนี้ เบยองจุนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดเนื้อเรื่องของเรื่องนี้ด้วย ผู้กำกับคิม ผู้นำทางด้านละครของเกาหลีพูดว่า “ผมประทับใจที่รู้ว่าเบยองจุนนั้นเข้าใจเนื้อเรื่องได้ดีกว่าผม” ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งเค้าเคยพูดว่า “ผมอยากเป็นผู้กำกับหนังครับ”

AERA - คุณเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดเหมือนในละครมั๊ยคะ ? ถ้าคุณได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งคุณอยากที่จะใช้ชีวิตแบบไหนคะ

เบยองจุน : จริงๆแล้วผมเคยคิดถึงเรื่องนี้เหมือนกันครับ ผมเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นแทนที่จะขอเกิดใหม่อีกครั้ง โดยการใช้ชีวิตที่มีความพยายามมากกว่าเดิมหรือว่าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ผมขอใช้ชีวิตวันนี้ในทางที่ผมไม่รู้สึกระอายต่อพระเจ้าดีกว่า ผมเชื่อว่าผมจะได้ไปสวรรค์ ไม่งั้นผมก็คงต้องตกนรกแน่ๆครับ นอกจากศรัทธาของผม คุณถามผมว่าผมอยากจะใช้ชีวิตแบบไหนถ้าผมได้เกิดใหม่อีกครั้งใช่มั๊ยครับ ผมจะ...(หยุดคิดพักนึง)ถ้าผมได้เกิดใหม่อีกครั้ง ผมจะใช้ความพยายามให้มากกว่านี้ เพราะว่ามันเป็นชีวิตที่คุณผ่านมาแล้วครับ

ติดตามตอนต่อไป

[Trans] AERA part 2: on love & life (2/2)

Click Link to read News version translated into english

***************************************************************

Translate English to Thai by angelliz

ผมแค่พยายามไขว่คว้ามัน

AERA- เหมือนกับเป็นการโน้มน้าวเค้า เค้าพยักหน้าฉันรู้สึกว่าฉันเห็นบางอย่างที่สนับสนุนความเชื่อของเค้า เมื่อพูดถึงพระจ้า การรับบทของโอรสของพระเจ้า ฮวานอุง ผู้ซึ่งปรากฏอยู่ในอดีต กลายมาเป็นหัวข้อหลัก ด้วยผมสีเงินและชุดแต่งกายสีขาว นั่นทำให้เกิดความทรงจำของภาพลักษณ์ของแกนดาล์ฟในเรื่อง The Lord of the Rings เบยองจุนจึงได้รับฉายาว่า “ยองดาล์ฟ”

AERA : คุณได้รับบทเป็นเทพเจ้า คุณรู้สึกอย่างไรคะ

เบยองจุน : ตั้งแต่แรกแล้วครับที่ผมรู้สึกว่าการรับบทเป็นเทพเจ้านั้นอาจจะเป็นเรื่องยาก และเมื่อผมเริ่มเล่นบทบาทนี้ ผมก็พบว่ามันยากจริงๆครับ ผมควรจะแสดงมันออกมาอย่างไรดี

ผมเป็นกังวลมากและมันก็ยากมากครับ ไม่ใช่แค่เพียงผมคนเดียว ผู้กำกับคิมและทีมงานต่างเป็นกังวลว่า การที่เราแสดงถึงยุคในอดีตออกมาแบบนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า แต่เพราะว่าเรื่องราวของฮวางอุงในอดีตนั้น เกี่ยวข้องกับกษัตริย์กวางแทโก เหตุการณ์ในอดีตเกี่ยวข้องกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นผมจึงต้องแสดงบทบาทนี้ครับ

มันเป็นผลงานที่ท้าทายมากจริงๆครับ แม้ผมจะมองย้อนกลับไป มันก็ยังเป็นเรื่องที่ท้าทายอยู่ดี ถ้าผมถูกขอให้แสดงบทบาทนี้อีกครั้ง ผมควรจะทำยังไงดีมันเป็นสิ่งที่ยากมากครับ กับการรับบทบาทเทพเจ้า

AERA - เป็นเวลาถึง 14 ปีแล้วนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เค้าปรากฏสู่สาธารณะชน ถ้าอธิบายถึงนักแสดงเบยองจุน คำว่า ‘ผู้ที่สมบูรณ์แบบ’ เป็นคำที่ใช้มาอย่างยาวนาน เค้าทุ่มเทความสามารถของเค้าในทุกๆสถานการณ์ ในบทสัมภาษณ์เมื่อ 3 ปีก่อนหลังจากภาพยนตร์เรื่อง April Snow เค้าเรียกตัวเองว่า ผู้ที่สมบูรณ์แบบ สำหรับคำตอบของเค้าในครั้งนี้ได้แตกต่างจากครั้งที่แล้ว

AERA : ขอถามอีกครั้งนะคะ ครั้งนี้คุณยังคงเรียกตัวเองว่า ผู้ที่สมบูรณ์แบบอยู่หรือเปล่าคะ

เบยองจุน : (ขมวดคิ้วเล็กน้อย) คำว่า ผู้สมบูรณ์แบบนั้น ผมคิดว่าเป็นความต้องการของคนที่ด้อยความสามารถน่ะครับ

สำหรับผมผู้ซึ่งขาดความสามารถในหลายๆด้าน ผมพยายามแล้วพยายามอีกเพื่อจะได้เป็นผู้สมบุรณ์แบบครับ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมพยายามที่จะสมบูรณ์แบบตามความหมายของคำนะครับ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสมบูรณ์แบบ ผมแค่พยายามให้มากขึ้นและมากขึ้นอีกนิดหน่อย เพราะความปราถนาอย่างแรงกล้านี่แหล่ะครับที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมได้รับบาดเจ็บระหว่างที่ถ่ายทำ ผมควรที่จะพอใจสิ่งนั้นใช่มั๊ยครับ แต่ผมยังคงคิดว่าผมควรที่จะแสดงออกมามากกว่านั้น ควรที่จะสื่อออกมามากกว่านั้น และผมคิดว่าเพราะว่าในอารมณ์และความคิดแบบนั้นน่ะครับที่ทำให้ผมบาดเจ็บ

AERA - ความปราถนาแบบนั้น เป็นสิ่งที่แสดงออกมาจากความรู้สึกรับผิดชอบของนักแสดง เบยองจุนบอกว่า ถ้ามีสิ่งที่เป็นความเหมือนระหว่างถัมด๊อกกับเค้าแล้วล่ะก็ สิ่งนั้นก็คือ ‘ความรู้สึกรับผิดชอบ’ นั่นเอง ในขณะที่ถัมด๊อกเติบโตขึ้น ถัมด๊อกเรียนรู้ที่จะตัดสินใจด้วยตัวของเค้าเอง ในฐานะที่เป็นบุคคลที่อยู่ภายใต้ความกดดันที่ยากลำบากหลายๆอย่าง เบยองจุนก็เช่นกัน นอกจากการเป็นนักแสดง, นักธุรกิจแล้ว เค้ายังมีภาระอีกหลายอย่างที่ต้องรับผิดชอบ

ผมไม่จดจำเรื่องราวในอดีต

AERA : ฉันคิดว่าคุณมักจะตกอยู่ในสถานการณ์กดดันบ่อยๆเมื่อต้องตัดสินใจ

เบยองจุน : ผมมักจะลืมเรื่องอะไรก็ตามแต่ ที่ได้ผ่านพ้นไปแล้วครับ (หัวเราะ) เรามักจะต้องตัดสินใจอยู่บ่อยๆในชีวิตของเรา ผมคิดว่าในทุกๆวัน และในทุกๆเวลา เรากำลังตัดสินใจอยู่ อย่างเช่น วันนี้เราควรจะทานอะไรดีก็คือการตัดสินใจครับ (หัวเราะ) ถึงแม้ว่าจะมีบางอย่างที่สำคัญมากในขณะนั้น แต่ในขณะที่เวลาผ่านไป คุณก็จะยิ่งพบว่าเรื่องราวเหล่านั้นมันสำคัญน้อยลงเรื่อยๆ เวลาทำให้เราลืมทุกอย่างที่มันเสร็จสิ้นไปแล้วครับ ถ้าคุณจำได้ในทุกๆเรื่องล่ะก็ คุณไม่สามารถจะใช้ชีวิตอยู่ได้ สำหรับเรื่องธุรกิจของผม ผมเป็นเพียงผู้ถือหุ้น แต่ผมไม่สามารถตัดสินใจในด้านของการบริหารได้ผมเพียงแค่เสนอความคิดเห็นหรือวิสัยทัศน์ของผมเท่านั้นครับ

AERA - ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน มักจะมีบางอย่างที่คอยกระตุ้นเค้า และเพื่อยืนยันสิ่งนี้ เค้าบอกความคิดของเค้าออกมาอย่างชัดเจน

AERA : คุณเคยพูดว่า ‘แม้ว่าจะมีช่วงเวลาที่คุณรู้สึกว่าจะยอมแพ้ แต่มันก็ไม่เคยอยู่ในหัวคุณนานเกินกว่า 0.1 วินาทีเลย’

เบยองจุน : สิ่งที่ผมห่วงมากที่สุดคือครอบครัวของผมครับ

เพราะว่าผมมีครอบครัว (แฟนๆ) ชาวญี่ปุ่น เกาหลี.. สำหรับผมแล้วพวกเค้าล้วนเป็นครอบครัวของผม

ที่สถานที่ถ่ายทำในเกาหลีนั้น มักจะมีครอบครัวมาหาผมทุกๆวัน ไม่ว่ามันจะหนาวขนาดไหน หรือว่าร้อนสักเพียงใด หรือแม้ว่าฝนจะตก เมื่อผมพักเบรคจากการถ่ายทำ ผมจะเห็นครอบครัวของผมรออยู่ที่นั่นเสมอ

ความคิดที่ว่า “ผมเหนื่อยเหลือเกิน” จะเข้ามาในความคิดของผม แต่เมื่อผมคิดถึงครอบครัว (ที่ยืนรออยู่นั้น) ของผม ผมไม่สามารถ (อนุญาติให้ตัวเอง) คิดเช่นนั้นได้ครับ ความคิด (ความเหนื่อย) นั้นจะหายไปจากหัวผมทันที ผมอยากจะขอบคุณครอบครัวของผมมากๆ เพราะพวกเค้าน่ะครับที่เป็นคนที่มอบพลังและแรงบัลดาลใจให้กับผม

แต่ในอีกด้านนึง ผมค่อนข้างที่จะเป็นห่วงเกี่ยวกับสุขภาพของครอบครัวเหมือนกันภายใต้ความหนาวเย็นขนาดนั้น และภายใต้อากาศที่ร้อนขนาดนั้นร่างกายของคุณยังสบายดีอยู่หรือเปล่า ผมมักจะเป็นห่วงพวกคุณมากเลยครับ

ดังนั้นผมจึงอยากขอร้องครอบครัวของผมทุกคน ในอนาคต ถ้าเกิดว่าผมกำลังถ่ายทำอะไรอยู่ โปรดอย่าทำอะไรที่ทำร้ายตัวเองเลยนะครับ ทำไมน่ะหรอครับ ก็เพราะว่าผมเป็นห่วงพวกคุณเหลือเกิน บางครั้งผมรู้สึกไม่ชอบพวกบริษัทท่องเที่ยวจริงๆ “ทำไมเค้าถึงพาครอบครัวของผมมายังที่ที่ลำบากเช่นนี้ และยังปล่อยให้พวกเค้ายืนอยู่แบบนั้นตลอดทั้งวันได้อย่างไร” ยกตัวอย่างอย่างเช่น เหมือนกับตอนที่ลูกอยากจะไปไหน พ่อกับแม่มักจะเป็นห่วงและรอคอยลูกของเค้า ผมคิดว่านี่เป็นอะไรที่เป็นภาระสำหรับลูกเช่นกันครับ ลูกคงจะพูดว่า “ผมไม่เป็นไรครับ ผมทำเองได้ด้วยตัวของผมเอง แม้ว่าผมจะต้องอยู่ตามลำพัง ผมก็จะพยายามทำมัน” (หัวเราะ)

AERA : นี่เป็นสิ่งที่คุณอยากจะขอร้องครอบครัวของคุณใช่มั๊ยคะ เราจะบอกสิ่งเหล่านี้กับพวกเค้าคะ

เบยองจุน : ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้าเกิดว่าครอบครัวของผมได้มีโอกาสมาที่เกาหลี ผมอยากให้พวกเค้าได้ทานอาหารอร่อยๆ และสนุกกับการมาเที่ยวที่นี่มากกว่า แต่พวกเค้ามักจะยืนอยู่ที่ๆเดียวตลอดเวลา ที่สถานที่ถ่ายทำ นี่เป็นสิ่งที่ผมเป็นห่วงมากครับ

สิ่งที่ผมอยากจะทำมากที่สุดตอนนี้

AERA : มีอย่างหนึ่งคือ คุณถูกเรียกว่าเพฮาในละคร และในงานที่โอซาก้าในวันที่ 1 ก็เช่นกัน มีเสียงตะโกนเรียกคุณว่า เพฮา จากผู้ชม คุณรู้สึกอย่างไรที่ถูกเรียกว่าเพฮาคะ

เบยองจุน : ฮ่าฮ่าฮ่า มันกลายเป็นชื่อเล่นไปแล้วครับ และผมคิดว่ามันก็ตลกดีเหมือนกัน ขนาดหลังจากเสร็จสิ้นการถ่ายทำละครไปแล้ว แม่ทัพโค (Park Jong Hak) ยังเรียกผมว่าเพฮาเลยครับระหว่างคุยโทรศัพท์ (หัวเราะ)

AERA - ในช่วงเวลา 2 อาทิตย์ที่เค้าอยู่ในญี่ปุ่นนั้น ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม เค้าจะต้องถูกติดตามโดยนักข่าวและแฟนๆ ใบหน้าของเค้ายังคงมีรอยยิ้มถึงแม้ว่าเค้าจะยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บ แต่เค้าก็ไม่แสดงความเหนื่อยล้าออกมาให้เห็นเลย และไม่ว่าจะต้องสัมภาษณ์กับสื่อมากมายเพียงใด เค้ายังคงตอบคำถามด้วยความสุภาพตลอดระยะเวลา

ฉันยังมีคำถามสุดท้ายที่จะถามเค้า

AERA : ตามความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้คุณอยากจะทำอะไรมากที่สุดคะ ?

เบยองจุน : สิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดตอนนี้หรอครับ อืม..สิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดตอนนี้คือ ... (พึมพัม) ต้นไม้ชุ่มฉ่ำด้วยหยาดน้ำค้าง ในผืนป่าเช่นนี้ ผมนั่งลงบนเก้าอี้ สูดลมหายใจของอากาศที่บริสุทธิ์ นั่งฟังเสียงดนตรี เสียงที่มากับสายลม… และได้กลิ่นของผืนป่าในขณะเดียวกัน

AERA - คำพูดของเค้างดงามราวกับบทกวี และดูเหมือนว่าจะออกมาจากส่วนลึกของจิตใจของเค้าในขณะนั้น หลังจากสิ้นเสียงทุ้มนุ่มของเค้า ทั้งห้องก็เกิดความเงียบขึ้นมา

และเค้าก็ดึงทุกคนมาสู่โลกของความเป็นจริง เค้ายังคงพูดด้วยท่าทางที่สดใสว่า

เบยองจุน : เมื่องานของผมเสร็จสิ้นแล้ว ผมอยากจะไปเที่ยวสถานที่บางที่ในญี่ปุ่นครับ ดังนั้นทีมงานเลยหาหนังสือนำเที่ยวมาให้ผมเลือกดู (หัวเราะ)ผมจะเลือกไปเที่ยวสักที่ครับหลังจากที่ดูหนังสือแล้ว

AERA : คุณจะปลอมตัวไปหรือเปล่าคะ

เบยองจุน : อืม..ผมคงจะสวมหมวกของผมไปแบบนี้น่ะครับ (ดึงหมวกลงมาปิดถึงใบหู)

AERA : คนจะยังคงจำคุณได้อยู่ดี ถึงแม้ว่าคุณจะสวมหมวกก็ตาม

เบยองจุน : ผมคิดว่าคงจะไม่เป็นไร ถ้าผมอยู่ลำพังคนเดียว เพราะว่าการที่ผมมักจะมีทีมงานที่ไปด้วยเยอะๆ จึงทำให้ดึงดูดความสนใจ และพวกเค้าก็จะคิดว่า “คนพวกนั้นคือใครกันนะ”ผมจะสวมหมวกแบบนี้และจะบอกทีมงานของผมให้ตามอยู่ห่างๆก็พอน่ะครับ

ผมจะเดินเล่นไปพร้อมกับกล้องของผม อืม... ผมคิดว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไรครับ (ทำท่าทางมั่นใจ)

ถ้าผมได้ถ่ายรูป ผมจะเอามาลงในเวปไซด์ของผมนะครับ ภาพที่ผมถ่ายในญี่ปุ่น ผมจะเอามาให้พวกคุณได้ดูครับ

AERA - หลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีข่าวออกมาว่าเค้าไปเดินเล่นที่ คามาคุระ พร้อมกับถือกล้องของเค้า อย่างไรก็ตามยังมีผู้คนที่ยังจำเค้าได้อยู่ดี แต่ว่าเค้าคงจะได้ถ่ายรูปดีๆออกมาบ้าง

ในวันที่ 12 มิถุนายน เค้าเดินทางออกจากญี่ปุ่น ไปต่อเครื่องที่สนามบินอินชอน เพื่อมุ่งสู่นิวยอร์ค ฉันมั่นใจว่านี่จะเป็นโอกาสที่เค้าจะได้ใช้เวลาของเค้าอย่างเต็มที่ ทำในสิ่งที่เค้าชอบ, ถ่ายภาพฉันรอคอยที่จะเห็นภาพถ่ายของเค้าในเวปไซด์ส่วนตัวของเค้า

******************************************************

จบแล้วคะ หวังว่าเพื่อนๆคงจะอิ่มเอมใจจาการได้อ่านข่าวแปล บทความนี้นะคะ ทุกคนก็จะได้รับรู้ถึง

ความอบอุ่นและความเป็นตัวเองของยงจุนได้เป้นอย่างดีนะคะ ขอขอบคุณทุกการตอบรับนะคะ^^

No comments: